ปลาตะเพียนขาว


                                ปลาตะเพียนขาว 

แหล่งกำเนิดและการแพร่กระจาย
ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่แถบแหลมอินโดจีน ชวา ไทย สุมาตรา อินเดีย ปากีสถาน และยังมีชุกชุมในถิ่นดังกล่าว  สำหรับประเทศไทยเรานั้นมีอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำธรรมชาติ อันได้แก่ แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึงต่าง ๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ  บ้านอะลาง

อุปนิสัยและคุณสมบัติบางประการ
1. ความเป็นอยู่ 
ปลาตะเพียนขาวเป็นปลาที่หลบซ่อนอยู่ตามแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง ที่มีกระแสน้ำไหลอ่อนๆ หรือน้ำนิ่ง เป็นปลาที่ทนต่อสิ่งเปลี่ยนแปลงและ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทั้งยังเจริญเติบโตในน้ำกร่อยที่มี ความเค็มไม่เกิน 7 ส่วนพัน อุณหภูมิเหมาะสมสำหรับปลาชนิดนี้อยู่ระหว่าง 25 - 33 องศาเซลเซียส 

2. นิสัยการกินอาหาร 
2.1 ระบบการกินอาหาร การตรวจสอบระบบการกินอาหารของ ปลาตะเพียนขาว ขนาด 12.5 - 25.5 เชนติเมตร พบว่า มีฟันในลำคอ (Pharyngeal teeth) เป็นชนิดกัดบดแบบสามแถว มีซี่เหงือกสั้นๆ อยู่ห่างกัน พอประมาณ ท่อทางเดินอาหาร กระเพาะอาหารไม่มีลักษณะแตกต่างจากลำไส้ ลำไส้มีผนังบาง ๆ ยาวขดเป็นม้วนยาว 2.02 - 2.73 เท่า ความยาวสุดของลำตัว 

2.2 นิสัยการกินอาการ กล่าวกันว่าลูกปลาตะเพียนขาววัยอ่อน กินสาหร่ายเซลล์เดียวและแพลงก์ตอนขนาดเล็ก ส่วนพวกปลาขนาด 3 - 5 นิ้ว กินพวกพืชน้ำ เช่น แหนเป็ด สาหร่ายพุงชะโด ผักบุ้ง สำหรับปลาขนาด ใหญ่สามารถกินใบพืชบก เช่น ใบมันเทศ ใบมันสำปะหลัง หญ้าขน ๆลๆ พบว่าปลาตะเพียนขาวหาอาหารกินในเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน 

3. การแยกเพศ
ลักษณะภายนอกของปลาตัวผู้คล้ายคลึงกันมากแต่เมื่อใกล้ผสมพันธุ์ จะสังเกตได้ง่ายขึ้นคือ ตัวเมียจะมีท้องอูมเป่งพื้นท้องนิ่มและรูก้นกว้างกว่าปกติ ส่วนตัวผู้ท้องจะแบนพื้นท้องแข็ง ถ้าเอามือลองรีดเบาๆ ที่ท้องจะมีน้ำสีขาวขุ่น คล้ายน้ำนมไหลออกมา หากเอามือลูบตามแก้มจะรู้สึกสากมือ
ภาพที่ 1 เปรียบเทียบลักษณะปลาตัวผู้และตัวเมียที่สมบูรณ์เพศ
ภาพที่ 2 เปรียบเทียบลักษณะเพศปลาตัวผู้และตัวเมีย


การอนุบาลลูกปลา
บ่อที่ใช้เป็นบ่อดินขนาดประมาณครึ่งไร่ถึงหนึ่งไร่ ความลึกประมาณ 1 เมตร ก่อนปล่อยลูกปลาต้องเตรียมบ่อให้ดีเพื่อกำจัดศัตรูและเพิ่มอาหารของ ลูกปลาในบ่อ การอนุบาลลูกปลาตะเพียนขาวนี้ระดับน้ำในบ่ออนุบาลขณะเริ่ม ปล่อยลูกปลาควรอยู่ในระดับ 30 - 40 เซนติเมตร แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับน้ำ สัปดาห์ละ 10 เซนติเมตรเพื่อรักษาคุณสมบัติน้ำ ส่วนการใส่ปุ๋ยนั้นหากวางแผน จะอนุบาลด้วยอาหารสมทบเพียงอย่างเดียวก็ไม่ต้องเติมปุ๋ยในบ่อ

อนึ่ง การขนย้ายลูกปลาลงบ่อดินเมื่อย้ายลูกปลาลงบ่อดินแล้วให้อาหาร ซึ่งอาจใช้ไข่ต้มเอาแต่ไข่แดงนำไปละลายน้ำและกรองผ่านผ้าโอลอนแล้ว นำไปบรรจุในกระบอกฉีดน้ำและพ่นให้ทั่วผิวน้ำหรือตักราดให้ทั่วบ่อ ปริมาณไข่ที่ให้ขึ้นอยู่กับพื้นที่บ่อ บ่อ 1 ไร่ ปล่อยลูกปลาประมาณ 1,000 - 1,500 ตัว/ตารางเมตร

เมื่อลูกปลาโตขึ้น ในวันที่ 5 จะเริ่มลดอาหารไข่และให้รำละเอียด โดย ค่อย ๆ โรยทีละน้อยรอบ ๆ บ่อกะให้รำแผ่กระจายเป็นพื้นที่กว้างประมาณ 1 วา จากขอบบ่อ เพราะลูกปลาส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ การสังเกตการกิน อาหารทำยาก เพราะลูกปลายังไม่ขึ้นมากินที่ผิวน้ำ แต่จะคอยกินอาหารที่ค่อยๆ จมลง หลังให้อาหารแล้วใช้แก้วตักลูกปลามาดู ถ้าลูกปลากินอาหารดีท้องจะขาว เห็นชัดเจน เมื่ออนุบาลไปได้ประมาณ 2 สัปดาห์ลูกปลาจะเริ่มขึ้นมากินอาหาร ที่ผิวน้ำจะสังเกตการกินอาหารได้ง่ายขึ้น โดยจะโรยรำด้านเหนือลม รำจะค่อย ๆ ลอยโปร่งตรงข้ามต้องคอยสังเกตว่าเศษรำที่ลอยมาติดขอบบ่อมีมากน้อย เพียงใด ถ้ามีมากก็แสดงว่าให้อาหารมากเกินไปต้องลดอาหารลง


ภาพที่ 9 การให้อาหารเช่น รำ แก่ลูกปลาที่อนุบาลในบ่อดิน
อาหารที่ให้นี้ ถ้าให้ได้คุณค่าทางโภชนาการดียิ่งขึ้นควรผสมปลาป่น ร่อนแล้วในอัตราส่วน รำ : ปลาป่นเท่ากับ 3 : 1 การให้รำอาจจะให้วันละ 3 - 4 ครั้ง ในระยะแรก ๆ และลดลงเหลือ 2 ครั้งในเวลาต่อมา โดยทั่วไปเมื่ออนุบาล ได้ 4 - 6 สัปดาห์จะได้ลูกปลาขนาดประมาณ 1 นิ้ว อัตรารอดประมาณร้อยละ 30 - 40 ซึ่งหมายความว่าจะได้ลูกปลาจำนวน 480,000 - 640,000 ตัว/ไร่  บ้านอะลาง


การใส่ปุ๋ยในบ่อปลา
อัตราการใส่ปุ๋ยคอกที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 150-200 กิโลกรัม /ไร่ ใส่ทุก ๆ ช่วง 2 - 3 เดือนปริมาณแตกต่างกันไปตามสภาพของบ่อ และความหนาแน่นของปลาที่เลี้ยง สำหรับอัตราการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็จะ แตกต่างกันไปตามชนิดของปุ๋ยคือ
ปุ๋ยฟอสเฟต เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด พอสรุปได้ว่าควรใช้ประมาณ 25 - 30 กิโลกรัมต่อ 6 ไร่ต่อ 6 เดือน
ปุ๋ยไนโตรเจน อัตราการใช้ไม่ค่อยแน่นอนแตกต่างกันไปแต่ละท้องถิ่น เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียเหลว มีไนโตรเจนอยู่ 20 เปอร์เซ็นต์ใช้ 150 ลิตรต่อ 6 ไร่ ส่วนผสมปุ๋ย เอ็น - พี - เค 300 - 500 กิโลกรัมต่อ 6 ไร่ต่อปี

การเลี้ยงปลาตะเพียนในบ่อดินบ่อที่เหมาะสมควรมีขนาดเนื้อที่ที่ผิวน้ำ มากกว่า 400 ตารางเมตรขึ้นไป ลึกประมาณ 1- 1.5 เมตร หลังจากเตรียมบ่อ ดังได้กล่าวมาแล้ว ปล่อยลูกปลาขนาด 1.5 - 2 เซนติเมตร ในอัตรา 3 - 4 ตัว/ตารางเมตรให้อาหารวันละ 2 เวลา เช้า - เย็น ในอัตรา 3 - 4 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัวปลา รูปแบบบ่อที่ใช้เลี้ยงควรมีระบบการระบายน้ำที่ดี

การเลี้ยงปลาตะเพียนในนาข้าว ควรมีเนื้อที่ประมาณ 10 - 15 ไร่ การดัดแปลงพื้นที่นาให้เป็นนาปลาก็สามารถปฏิบัติได้ง่าย โดยขุดดินในพื้นที่นา รอบๆ ถมเสริมคันดินให้สูงขึ้นทำให้มีความแข็งแรงจะทำให้เกิดคูรอบคันดิน สามารถเก็บกักน้ำให้ขังอยู่ในพื้นที่นา ใช้สำหรับเลี้ยงปลา คูที่ขุดนี้ควรมีขนาด กว้างไม่น้อยกว่า 50 ซม. ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร คันดินควรสูงประมาณ 75 - 100 เซนติเมตร เหลือให้คันดินสูงกว่าระดับน้ำสูงประมาณ 60 เซนติเมตร กว้าง 50 เซนติเมตร มุมที่จะเป็นทางระบายน้ำออกจากนาควรเป็นด้านที่ต่ำสุด ถ้าเป็นไปได้ขุดหลุมกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ลึก 60 - 70 เซนติเมตรไว้เพื่อ สะดวกในการจับปลา โดยปลาจะมารวมกันเองในหลุมนี้เมื่อเวลาน้ำลดในฤดู เก็บเกี่ยวขนาดของปลาที่ปล่อยใช้ขนาด 3 - 5 เซนติเมตรขึ้นไป ปล่อยอัตรา 400 - 600 ตัว/ไร่ การใส่ปุ๋ยและการให้อาหารจะใช้น้อยกว่าการเลี้ยงแบบอื่นๆ เราจะให้อาหารเพียงวันละครั้ง การปล่อยปลาจะปล่อยหลังจากดำกล้าประมาณ 7 วัน 
ปล่อยน้ำเข้านาให้สูงประมาณ 1 ฟุต ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 3 - 4 เดือน ซึ่งจะพอดีกับข้าวสุกปลาก็โตมีขนาดพอนำไปจำหน่ายตาม ท้องตลาดได้ การเลี้ยงปลาตะเพียนขาวสามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้เพื่อเป็น การใช้ประโยชน์ภายในบ่อให้ได้เต็มที่ปลาแต่ละชนิดที่ปล่อยลงเลี้ยงร่วมกันจะ ต้องโตได้ขนาดตลาดในเวลาพร้อมกันเพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิต ปลาที่ เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาตะเพียนขาวจะต้องไม่มีนิสัยที่ชอบทำร้ายปลาชนิดอื่น และไม่ควรเป็นพวกปลากินเนื้อ ปลาที่จะเลี้ยงจนโตได้ขนาดตามที่ต้องการนอกจากใช้อาหารธรรมธาติ ซึ่งมีอยู่ในบ่อเลี้ยงจำเป็นต้องให้อาหารสมทบเพิ่มเติม เพื่อเป็นการเร่งให้ปลา มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วขึ้น อาหารสมทบดังกล่าว ได้แก่ แหนเป็ดและไข่น้ำ (ไข่น้ำเป็นพืชที่เกิดขึ้นลอยอยู่บนผิวน้ำ ปะปนกับพวกจอกแหน มีลักษณะเป็น เม็ดกลม ๆ ขนาดเท่าๆ กับสาคูเม็ดเล็กที่ยังไม่แช่น้ำ มีสีค่อนไปทางเขียวอ่อน ใช้โปรยให้กินสด ๆ) เศษผักต่างๆ โดยวิธีต้มให้เปื่อยผสมกับรำหรือปลายข้าว ที่ต้มสุก, กากถั่วเหลือง, กากถั่วลิสง ใช้แขวนหรือใส่กระบะไม้ไว้ในบ่อ ส่วน อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ หรือสัตว์ที่มีชีวิต เช่น ตัวไหม ปลวก ไส้เดือน หนอน มด ฯลฯ ใช้โปรยให้กิน พวกเครื่องในและเลือดของพวกสัตว์ต่างๆ เช่น หมู วัว ควาย ใช้บดผสมคลุกเคล้ากับรำและปลายข้าวซึ่งต้มสุกแล้ว นำไปใส่ไว้ใน กระบะไม้ในบ่อ


ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
ปัญหาทั่วไปที่มักจะพบ ได้แก่ ปลา ไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ทั้งนี้ เพราะไม่ได้ถ่ายเทน้ำเป็นประจำ จึงทำให้เกิดเห็บปลาและหนอนสมออันเป็นพยาธิ ของปลา หรือโรคจากบักเตรี ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงปลาแน่นเกินไป

ศัตรูของปลาตะเพียนขาว ได้แก่ ปลาช่อน ปลาชะโด ปลาดุก กบ เขียด งูกินปลา และนก ฯลฯ
ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่ง คือ การลักขโมยซึ่งมีวิธีการหลายอย่าง เช่น ใช้ตาข่าย แห กระชัง ลอบ ทำให้นักเลี้ยงปลาประสบการขาดทุนมาก หลายรายแล้ว
อนึ่ง ปัญหาเหล่านี้ผู้เลี้ยงควรศกษาและแก้ไขโดยใกลชิด พร้อมทั้ง ปฏิบัติตามคำแนะนำในด้านวิชาการจากเจ้าหน้าที่ของกรมประมงอย่างเคร่งครัด

รูปร่างลักษณะ
ปลาตะเพียนขาวมีลักษณะลำตัวแบนข้าง หัวเล็ก ปากเล็ก ริมฝีปาก ขอบส่วนหลังโค้งยกสูงขี้นความยาวจากสุดหัวจรดปลายหาง 2.5 เท่าของความสูง จะงอยปากแหลม มีหนวดเส้นเล็กๆ 2 คู่ ต้นของครีบหลังอยู่ตรงข้ามกับเกล็ด ที่สิบของเส้นข้างตัว เกล็ดตามแนวเส้นข้างตัวมี 29 -31 เกล็ด ลำตัวมีสีเงิน ส่วน หลังมีสีคล้ำ ส่วนท้องสีขาว ที่โคนของเกล็ดมีสีเทาจนเกือบดำ ปลาตะเพียนขาว ขนาดโตเต็มที่มีลำตัวยาวสูงสุดถึง 50 เซนติเมตร



การเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาว
ในการเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาวควรเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์เอง บ่อขุนเลี้ยง พ่อแม่พันธุ์ควรเป็นบ่อดินขนาดประมาณ 400 ตารางเมตร ถึง 1 ไร่โดยปล่อย ปลาเพศผู้เพศเมีย แยกบ่อกันในอัตราประมาณ 800 ตัว/ไร่ให้ผักต่างๆ หรือ อาหารผสมในอัตราประมาณร้อยละ 3 ของน้ำหนักตัว การเลี้ยงพ่อแม่ปลา อาจจะเริ่มในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน โดยคัดปลาอายุประมาณ 8 เดือน แยกเพศและปล่อยลงบ่อ เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ควรตรวจ สอบพ่อแม่ปลา ถ้าอ้วนเกินไปก็ต้องลดอาหาร หากผอมเกินไปก็ต้องเร่งอาหาร ทั้งนี้ควรจะถ่ายน้ำบ่อยๆ เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของไข่และน้ำเชื้อ การเพาะพันธุ์ จะเริ่มได้ประมาณเดือนมีนาคมถึงกันยายน โดยพ่อแม่พันธุ์จะพร้อมที่สุด ในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน

1. การคัดพ่อแม่พันธุ์
ปลาเพศเมียที่มีไข่แก่จัดจะมีท้องอูมโป่งและนิ่ม ผนังท้องบาง ช่องเพศและช่องทวารค่อนข้างพองและยืน ส่วนปลาเพศผู้แทบจะไม่มีปัญหา เรื่องความพร้อมเนื่องจากสร้างน้ำเชื่อได้ดีเกือบตลอดปี

2. การฉีดฮอร์โมน
โดยทั่วไปจะใช้ต่อมใต้สมองจากปลาจีน หรือปลายี่สกเทศ ฉีดใน อัตรา 1.5 - 2 โดส ขึ้นกับความต้องการของแม่ปลา ฉีดเพียงเข็มเดียว ปลาเพศผู้ไม่ต้องฉีด ตำแหน่งที่นิยมฉีดใต้เกล็ดบริเวณใต้ครีบหลังเหนือเส้น ข้างตัวหรือบริเวณโคนครีบหู ในบางพื้นที่นิยมใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ LHRN ฉีดในอัตรา 20 ไมโครกรัม/กิโลกรัม ควบคู่กับยาเสริมฤทธิ์ Domperidone ในอัตรา 5 - 1O มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะมีผลให้ปลาวางไข่เช่นเดียวกัน

ภาพที่ 3 อุปกรณ์ที่ใช้ในการผสมเทียม
ภาพที่ 4 การฉีดฮอร์โมน


3. การผสมพันธุ์  การผสมพันธุ์ทำได้ 2 วิธี คือ
3.l ปล่อยให้พ่อแม่ปลาผสมพันธุ์กันเอง
หากเลือกวิธีการนี้เมื่อฉีดฮอร์โมนเสร็จ ก็จะปล่อยพ่อแม่ปลาลง ในบ่อเพาะรวมกัน โดยใช้อัตราส่วนแม่ปลา l ตัว/ปลาเพศผู้ 2 ตัว บ่อเพาะ ควรมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3 ตารางเมตร ลึกประมาณ l เมตร บ่อขนาดดังกล่าว จะปล่อยแม่ปลาได้ประมาณ 3 ตัว เพื่อความสะดวกในการแยกพ่อแม่ปลา ควรใช้อวนช่องตาห่าง ปูในบ่อไว้ชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงปล่อยพ่อแม่ปลาลงไป แม่ปลาจะวางไข่หลังการฉีดประมาณ 4 - 7 ชั่วโมง โดยจะไล่รัดกันจนน้ำ แตกกระจาย เมื่อสังเกตว่าแม่ปลาวางไข่หมดแล้ว ก็ยกอวนที่ปูไว้ออกพ่อแม่ปลา จะติดมาโดยไข่ปลาลอดตาอวนลงไปรวมกันในบ่อ จากนั้นก็รวบรวมไข่ปลา ไปฟักในกรวยฟัก การผสมพันธุ์วิธีนี้มีข้อดีในเรื่องคุณภาพของไข่ที่ได้มักจะ เป็นไข่ที่สุกพอดี นอกจากนั้นผู้เพาะยังไม่ต้องเสียเวลารอด้วย แต่ในบางครั้ง ปลาตัวผู้อาจไม่ฉีดน้ำเชื้อเข้าผสมทำให้ไข่ที่ได้ไม่ฟักเป็นตัว นอกจากนั้น ไข่ที่รวบรวมได้มักจะไม่สะอาด

3.2 วิธีการผสมเทียม
หลังจากฉีดประมาณ 4 - 5 ชั่วโมงจะสามารถรีดไข่ปลาใดโดยปลา จะมีอาการกระวนกระวายว่ายน้ำไปมารุนแรงผิดปกติ บางตัวอาจจะขึ้นมาฮุบ อากาศบริเวณผิวน้ำ เมื่อพบว่าปลามีอาการดังกล่าวกีดวรตรวจดูความพร้อม ของแม่ปลา โดยจับปลาหงายท้องขึ้นโดยตัวปลายังอยูในน้ำและบีบบริเวณใกล้ ช่องเพศเบา ๆ หากพบว่าไข่พุ่งออกมาอย่างง่ายดายก็นำแม่ปลามารีดไข่ได้ การผสมเทียมใช้วิธีแห้งแบบดัดแปลงโดยใช้ผ้าขับตัวปลาให้แห้ง แล้วรีดไข่ลง ในภาชนะที่แห้งสนิท จากนั้นนำปลาตัวผู้มารีดน้ำเชื้อลงผสม ในอัตราส่วนของ ปลาตัวผู้ 1- 2 ตัว ต่อไข่ปลาจากแม่ไข่ 1 ตัวใช้ขนไก่คนไข่กับน้ำเชื้อจนเข้ากันดี แล้วจึงเติมน้ำสะอาดเล็กน้อยพอท่วมไข่การคนเล็กน้อยในขั้นตอนนี้เองเชื้อตัวผู้ ก็จะเข้าผสมกับไข่  จากนั้นจึงเติมน้ำจนเต็มภาชนะถ่ายน้ำเป็นระยะๆ เพื่อล้างไข่ ให้สะอาด ไข่จะค่อย ๆ พองน้ำ และขยายขนาดขึ้นจนพองเต็มที่ภายในเวลา ประมาณ 20 นาที ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวต้องคอยถ่ายน้ำอยู่เสมอ เพื่อป้องกัน ไม่ให้ไข่บางส่วนเสีย เมื่อไข่พองเต็มที่แล้วก็สามารถนำไปฟักในกรวยฟักได้

ภาพที่ 5 การรีดไข่แม่พันธุ์
ภาพที่ 6 การรีดน้ำเชื้อพ่อพันธุ์
ภาพที่ 7 คนไข่และน้ำเชื้อให้ผสมเข้ากัน
ภาพที่ 8 นำไข่ที่ผสมแล้วไปฟักในกรวยฟักไข่



การเลี้ยงปลาตะเพียนขาว
ปลาตะเพียนสามารถเจริญเติบโตได้ดีในแหล่งน้ำทั่วไป เป็นปลาที่เลี้ยง ง่ายกินพืชเป็นอาหาร อาศัยอยู่ได้ดีทั้งในแหล่งน้ำไหลและแหล่งน้ำนิ่งแม้กระทั่ง ในนาข้าว เมื่ออายุเพียง 6 เดือน ก็สามารถจะมีน้ำหนักได้ถึงครึ่งกิโลกรัม

บ่อเลี้ยง ควรเป็นบ่อขนาด 400 ตารางเมตร จนถึงขนาด 1 ไร่ หรือ มากกว่านั้น ความลึกของน้ำในบ่อควรให้ลึกกว่า 1 เมตรขึ้นไป ใช้เลี้ยงลูกปลา ที่มีขนาดยาว 5 - 7 เซนติเมตรขึ้นไป ในอัตราส่วน 3 - 4 ตัว ต่อตารางเมตร หรือ 5,000 ตัว/ไร่

บ่อใหม่หมายถึงบ่อที่เพิ่งขุดใหม่และจะเริ่มการเลี้ยงเป็นครั้งแรกบ่อใน ลักษณะเช่นนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคพยาธิที่ตกค้างอยู่ในบ่อ เพียงแต่บ่อใหม่ จะมีอาหารธรรมชาติอยู่น้อย หากภายในบ่อมีคุณสมบัติของดินและน้ำไม่ เหมาะสมก็ต้องทำการปรับปรุง เช่น น้ำและดินมีความเป็นกรดเป็นด่างต่ำกว่า 6.5 ก็ต้องใช้ปูนขาวช่วยในการปรับสภาพ ระบายน้ำเข้าให้มีระดับประมาณ 10 เซนติเมตร ทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์จึงใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์จากนั้น ก็ระบายน้ำเข้าให้มีระดับประมาณ 50 เซนติเมตรทิ้งไว้อีก 5 - 7 วันจึงปล่อยน้ำ ให้ได้ระดับตามต้องการประมาณ 1 - 1.5 เมตร จึงปล่อยปลาลงเลี้ยง

บ่อเก่าหรือบ่อที่ผ่านการเลี้ยงมาแล้วหลังจากจับปลาแล้วทำการสูบน้ำ ออกให้แห้งทิ้งไว้ไม่น้อยกว่าหนึ่งวันจากนั้นใส่ปูนขาวฆ่าเชื้อโรค และพยาธิพร้อม ทั้งปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของก้นบ่อ แต่ถ้าเป็นบ่อที่มีเลนอยู่มากควร ทำการลอกเลนขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยใส่ปูนขาว จากนั้นตากบ่อทิ้งไว้อีก 7 วันแล้ว จึงปฏิบัติเหมือนกับบ่อใหม่ แต่ถ้าไม่สามารถสูบน้ำให้แห้งได้จำเป็นต้องกำจัด ศัตรูปลาให้หมดเสียก่อน ศัตรูของปลาตะเพียน ได้แก่ พวกปลากินเนื้อ เช่น ปลาช่อน ปลาดุก กบ เขียด และงู ควรใช้โล่ติ๊นสด 1 กิโลกรัมต่อปริมาณน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร วิธีใช้คือทุบหรือบดโล่ติ๊นให้ละเอียดนำลงแช่น้ำลึก 1 หรือ 2 ปีบ ขยำโล่ติ๊นเพื่อให้น้ำสีขาวออกมาหลายๆ ครั้งจนหมดแล้วนำลงไปสาดให้ ทั่วบ่อ ศัตรูพวกปลาดังกล่าวก็จะตายลอยขึ้นมาต้องเก็บออกทิ้ง อย่าปล่อยให้ เน่าอยู่ในบ่อก่อนที่จะปล่อยปลาลงเลี้ยงควรทิ้งระยะไว้ประมาณ 10 วัน เพื่อให้ ฤทธิ์ของโล่ติ๊นสลายตัวเสียก่อน ส่วนน้ำที่จะระบายเข้ามาใหม่ ควรใช้ตะแกรง กรองเอาเศษต่างๆ และปลาอื่นๆ ไม่ให้เข้ามาในบ่อได้


ต้นทุนและผลผลิตของการเลี้ยงปลาตะเพียนขาว
ปลาตะเพียนขาวที่เลี้ยงกันตามอัตราการปล่อยปลาที่กล่าวแล้ว จะมี ผลผลิตไร่ละประมาณ 800 ถึง 1,000 กิโลกรัม เมื่อเทียบราคาปลากิโลกรัมละ 15 บาท ได้รายรับประมาณไร่ละ 12,000 ถึง 15,000 บาท ในเวลาประมาณ 7 เดือน เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่อไร่ ได้แก่ รำ 1,400 บาท กากถั่วเหลืองประมาณ 2,200 บาท ค่าแรงงานสำหรับผู้เลี้ยงหรือเจ้าของไร่ละประมาณ 875 บาท รวม เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไร่ละประมาณ 4,475 บาท ดังนั้นจะได้กำไรสุทธิไร่ละ ประมาณ 7,525 บาท ซึ่งนับว่าเป็นผลผลิตที่สูงอย่างหนึ่ง ถ้าหากได้มีการ ปรับปรุงดูแลใกล้ชิดก็จะได้ผลผลิตสูงขึ้น ปลาตะเพียนขาวใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 6 เดือน จะมีน้ำหนักประมาณ 3 - 4 ตัว/กิโลกรัม


http://alangcity.blogspot.com/2012/12/blog-post_27.html
ที่มา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปลาตะเพียนทอง

ปลาหมอบัตเตอร์